หุ้นทีเด็ด 3 ประเภท Cyclical+Growth+Turnaround รอบหลังวิกฤตCOVID-19
1.การลงทุนในตลาดหุ้นนั้น หากต้องการความมั่นคงรักษาเงินต้นได้ ให้เน้นการลงทุนยาว5-10ปีในหุ้นบลูชิพชั้นนำในSET50 ยิ่งหลังวิกฤตCOVID-19ยิ่งดี เพราะว่าหลังวิกฤตสำคัญอย่างBLACK MONDAY 1987 หุ้นฟื้นยาว10ปี หลังวิกฤตต้มยำกุ้งปี1997 หุ้นฟื้นยาว10ปี หลังวิกฤตซับไพรม์ปี2007ก็ฟื้นยาว10ปี และสถิติฟื้นมาราวๆ3-400% ดังนั้นหลังวิกฤตCOVID-19หากประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยอีกคราว ก็คงฟื้นยาวไปถึงราวปี2030 ท่านก็ควรซื้อINDEX FUNDอิงหุ้นในSET50 หรือซื้อหุ้นตัวแทนแบบนี้เช่นTDEX BMSCITH เป็นต้น แล้วถือยาวไป10ปี เผื่อจะมีผบตอแทน3-400%แบบหลังวิกฤตหนก่อนๆ 2.แต่หากท่านต้องการเพิ่มพูนwealthในพอร์ตให้โตเร็ว ก็อาจอาศัยวิกฤตแบบนี้เลือกหุ้นที่high risk ,high returnขึ้นมาอกีหน่อย แต่หากจับMarket timingได้ดีก็จะลดความเสี่ยงลงไปได้ ก็ได้แก่ 2.1หุ้นอิงGlobal cyclicalหรือฟื้นตัวตามรอบวัฏจักรศก.โลก ที่ผ่านมารอบปีหุ้นพวกนี้เลยขึ้นมาเยอะมา่ก อย่างชิ้นส่วนฯDELTA HANA KCE ยางSTA เรือRCL PSL TTA โภคภัณฑ์อย่างน้ำมัน ปิโตรเคมี่ ถ่านหิน สินค้าเกษตร จนตอนนี้ผมต้องมาชวนสมาชิกทยอยขายทำกำไรหุ้นเหล่านี้อยู่ 2.2หุ้นที่จะTurnaroundโดดเด่นหลังวิกฤตผ่านพ้นไป ได้แก่พวกที่โดนกระทบหนักแต่รอดมาได้ และมีโอกดาสเติบใหญ่ขยายตัวเพราะคนอื่นในอุตสาหกรรมล้มหายตายจาก เช่น โรงแรม สายการบิน เป็นต้น ผมได้เล่าเรื่องหุ้นตัวหนึ่งคือ Uว่าคนเข้าใจผิดว่ามันเป็นหุ้นเน่า แต่ความจริงได้เพิ่มทุนสำเร็จมีเงินสดในมือ2หมื่นล้าน กิจการโรงแรมในEUกำลังเปิด มีโปรเจ็กต์ใหญ่เมืองใหม่อู่ตะเภา ราคาต่ำกว่าBV2.52บาทมาก และมีลุ้นปันผลมาก 2.3หุ้นtheme World reopenที่ตอนนี้ยังไม่ขึ้นและยังอยู่ฐานล่างจะได้ซื้อราคาต่ำมาก เช่น หุ้นสื่อสาร หุ้นอินฟราสตรัคเจอร์ อย่างรถไฟฟ้า โรงไฟฟ้า กองทุนอินฟราฯ พวกที่จะกลีบมาหลังวัคซีน อย่างห้างสรรพสินค้า โรงหนัง ภัตตาคาร พวกที่ขายสินค้าในห้าง เป็นต้น ผมได้ยกตัวอย่างTCAPว่าเป็นholding companyที่มีกำไรจากการถือหุ้นประกัน บลจ. โบรก ลีสซิ่ง บริหารหนี้ แต่ขาดทุนจากการถือหุ้นห้างMBK ต่อไปเมื่อMBKฟื้นก็จะปลอดล็อกให้ราคาขึ้นได้ ยังราคาถูกกว่าBVอยู่ครึ่งต่่อครึ่ง 2.4หุ้นGrowth กระแสตอนนี้คือกัญชงกัญชา แต่ราคาก็ขึ้นมาล่วงหน้าความคาดหวังไปเยอะมากๆแล้ว ขึ้นไป7-8เท่าตัวก็มี ทั้งที่ยังไม่ได้เป็๋นรูปเป็นร่างอะไรเลย แต่บางรายก็ยังขึ้นไม่มาก แะยังมีupsideอยู่ ผมได้ยกตัวอย่างGUNKULว่าที่เขาได้เริามธุรกิจต้นน้ำ ไปยันกลางน้ำ ปลายน้ำ ก็อาจเพิ่มมูลค่าให้อนาคตอีกมากทีเดียว เป็นต้นวันจันทร์, มิถุนายน 21, 2564
วันพฤหัสบดี, มิถุนายน 17, 2564
THANI หุ้นรถบรรทุก วิ่งขึ้นในวันที่ตลาดมีแรงขาย
ดูงบการเงินของ THANI แล้ว งบก็เติบโตเท่าไร
แต่ทรงกราฟในมุมของ Technical นี้สร้างฐานเป็น pattern ได้ดีมาก เพราะสร้างฐานเป็นคลื่น 2 และ dow ขาขึ้น
ดูกราฟ month
- นับ cycle ได้เป็น sidway 4 เพื่อขึ้นคลื่น 5
วันพุธ, มิถุนายน 16, 2564
ลักษณะของจุดเด้งขึ้นในกราฟทอง ( xau/usd )
ลักษณะที่พรานล่าหุ้นเห็นจุดกลับตัวในกราฟทอง (xau/usd) มีดังนี้
- ลงมาชนแนวรับระดับ H1
- ปกติกราฟจะเด้งชึ้นแนวต้านแล้วยืดฝั่งลงทะลแนวรับลงไป เป็นลักษระของกราฟขาลง
- การเด้งขึ้นเมื่อลงชนแนวรับ กราฟจะเด้งขึ้นชนแนวต้านเลย จะเป็นลักษณะของกราฟที่ลงต่อเพราะเมื่อกราฟชนแนวต้าน ก็จะติดแนวต้าน แล้วผ่านไม่ได้ก็จะเปลี่ยนเป็นขาลง
- แต่ถ้าในกราฟ 1 นาทีเห็นกราฟลงที่แนวรับแล้ว sideway ออกข้างโดยที่ไม่เด้งขึ้น เหมือนว่าจลงต่อแต่ลงไม่ได้เลย ออกข้างไป
- เมื่อ sideway ออกข้างแล้วไม่ไเด้งขึ้น แต่เหมือนจะกดลงต่อ แต่ทะลุแนวรับลงต่อไม่ได้ สุดท้ายกราฟกลับตัวขึ้นทะลุแนวต้านขึ้นมาได้
- ลักษณะแบบนี้จะเป็นลักษณะของการกลับตัวที่แนวรับของ T/F ใหญ่กราฟก็จะกลับขึ้นตาม cycle ของ T/F ใหญ๋
- การเปลี่ยนแปลงแบบนี้ จะเห็นในกราฟ M1 เท่านั้น
- รายละเอียดของจุดกลับตัวอยู่ที่กราฟ 1 นาที
กราฟ 3 T/F M1,M5,M15 |
กราฟทอง xau/usd ลักษณะของจุดเด้งครั้งที่ 2
- ลักษณะแบบเดียวกับการเด้งครั้งแรก คือ ลงมาsideway ที่แนวรับโดยไม่เด้งขึ้น
- เกิดการบีบตัวระหว่างกรอบแนวรับแนวต้าน ราคาวิ่งอยู่ในกรอบก่อนจะเลือกทาง
- เมื่อกราฟ วิ่งขึ้นทะลุแนวต้านขึ้นมาได้ เป็นจุดเด้งขึ้นตาม T/F ใหญ่
กราฟ 3 T/F M1,M5,M15 |
วันอาทิตย์, มิถุนายน 13, 2564
mark low สร้างฐาน เปลี่ยนเทรน
3 ขั้นตอนของการเปลี่ยนเทรน
- mark low คือ กำหนดตำแหน่งที่จะทำการสร้างฐานเพื่อเปลี่ยนเทรน ราคาจะไม่หลุดจากตำแหน่งนี้ในช่วงของการสร้างฐาน
- สร้างฐาน คือ คือการสร้างของเทรน ไม่ว่าจะเป็นขาขึ้น หรือ ขาลงก็ต้องทีการสร้างซะก่อน
- เปลี่ยนเทรน คือ เมื่อสร้างได้สำเร็จ ต่อไปก็คือการเปลี่ยนเทรนในรูปแบบของ dow thoery คือ ยก low ขึ้นไปเรื่อยๆ หรือ ทำ high ต่ำลงไปเรื่อยๆ
- T/F M1 เกิดการเด้งขึ้นที่แนวรับ เป็นสัญญาณของการ mark low ที่ตำแหน่งนี้
- T/F M5 เกิดการสร้างที่แนวรับได้สำเร็จ ก็จะทำกระบวนการที่ 3 คือวิ่งขึ้นยก high ยก low ขึ้นไปที่แนวต้านถัดไป แล้ว
- T/F M1 เกิดการ mark low ที่แนวรับของ T/F H1
- T/F M5 เกิดการสร้างฐานที่แนวรับโดย ไม่ยืดฝั่งลง จึงเกดกราฟที่ทำ double bottom ที่แนวรับนี้
- T/F M15 เอาไว้เชื่อม cycle ระหว่าง T/F M5 กับ T/F H1
- เกิดการ mark low ที่แนวรับของ T/F H1 เพื่อที่จะหยุดลงและสร้างฐาน
- T/F M5 เกิดการสรา้งฐานของคลื่น 1,2 ของขาขึ้นได้สำเร็จ
- T/F M15 เกิดการยืดของกราฟ เป็น cycle ขาขึ้น 5 คลื่น
- เมื่อกราฟวิ่งขึ้นไปชนแนวต้านของ T/F H1 กราฟจะเกิดการ mark high ที่ตำแหน่งแนวต้าน
- T/F M1 การ mark low ก็คือการทำ double bottom คือการหยุดขึ้นเพราะติดแนวต้าน และกราฟจะไม่สามารถวิ่งขึ้นทะลุแนวต้านนี้ได้อีกเลย
- T/F M5 เมื่อกราฟใน T/F M1 ไหลลงมาที่แนวรับของ M5 แต่ไม่สามารถเด้งขึ้นแล้วยืนบนแนวรับได้กราฟก็จะลงต่อไปเกิด เป็น cycle ที่ 1 ใน T/F M5 และยืดลงไปที่แนวรับถัดไป
- T/F M15 เกิดการยืดฝั่งลงที่ตำแหน่ง cycle 1 ซึ่งเป็นจุดเดียวกับกราฟ T/F M5 ทำให้เกิดคลื่นยืดขา 3 ใน T/F M15 ออกมาแล้วยืดลงไปที่แนวรับของT/F H1
demand & supply ในกราฟ
Demand & supply หรือเรียกว่า แรงซื้อ หรือแรงตามแนวรับแนวต้าน
มีส่วนสำคัญในการกำหนดทิศทางของกราฟ เพราะการกลับตัวจะเกิดตามแนวรับและแนวต้าน ตามจำนวนแรงซื้อและแรงขายที่สะสมอยู่ ยิ่ง T/F ใหญ่ก็จะมีจำนวน demand และ supply มากขึ้นตาม T/F ที่ใหญ่ขึ้นฉะนั้น ถ้าจะหาจุดกลับตัวแม่นๆ ให้ไปดูตามแนวรับแนวต้านของ T/F day และ T/F 60 นาที
ในกรอบ sideway จะมี demand ที่แนวรับ และ มี supply ที่แนวต้าน ทำให้เกิดการเคลื่อนที่ขึ้นลงในกรอบ จนกว่า demand หรือ supply เริ่มจะอ่อนแอลง และทำใหกราฟเคลื่อนที่ไปที่ตำแหน่งนั้น เพื่อที่จะทำการทะลุแนวนั้นไป แต่ก่อนที่จะทะลุได้ ก็จะเกิดการวิ่งขึ้นลง ชนแนวต้านและแนวรับหลายครั้ง จนกราฟวิ่งไปด้านนั้น โดยไม่กลับมาอีกฝั่งหนึ่งเพื่อที่จะทำการวิ่งทะลุแนว demand หรือ supply นั้นๆไปให้ได้
Trend เป็นเรื่องสำคัญของการคาดการณ์ทิศทางการวิ่งในกรอบ sideway
- T/F ใหญ่จะเป็นตัวกำหนดทิศทางใน T/F เล็ก
- ถ้าใน T/F ใหญ่ยังเคลื่อนที่ไม่ครบ cycle ใน T/F เล็กก็จะยังเคลื่อนที่ไปตาม T/F ใหญ่
- ถ้าจะมีการกลับตัว จะเกิดขึ้นที่ตำแหน่งของแนว demand หรือ แนว supply สำคัญๆเท่านั้น
- ให้เข้าไปดูใน T/F ที่เล็กกว่า เพราะจะเห็นทิศทางการเคลื่อนที่ ของคลื่นย่อยซึ่งเป็นองค์ประกอบของ T/F ใหญ่
ตัวอย่างกราฟ ทอง ( xau/usd )
เมื่อกราฟชนแนวต้านแล้วย่อตัวลงไปยังแนว demand จะเกิดพฤติกรรมที่แนวรับดังนี้
วิ่งขึ้นครั้งที่ 1
- เมื่อกราฟวิ่งขึ้นชนแนว supply ของกราฟ day แล้วมีแรงขายออกมาผ่านไม่ได้ กลายเป็นกรอบ การเคลื่อนที่ในกรอบ sideway
- จังหวะที่กราฟลงมาแล้ว กราฟ T/F day ยังเป็นขาขึ้นอยู่ ที่แนว deamnd ก็จะมีแรงซื้อรออยู่จำนวนมาก เมื่อกราฟลงมาถึงแนวรับ ซึ่งเป็นแนวรับของ T/F H1 ก็จะมีแรงซื้อจาก แนว deamand เข้ามาดันราคาให้กลับขึ้นไป ด้วย volume จำนวนมาก และจะทำการ mark low นี้ไว้
- กราฟจะผ่านแนวรับนี้ลงไปไม่ได้ และกลับตัวเป็นขาขึ้นวิ่งขึ้นไปที่แนวต้านด้วยแรงซื้อมหาศาล เกิดแท่งเขียวยาวและ volume จำนวนมากเพราะเป็นการลงมาที่แนว demand ครั้งแรก
- กราฟจะลงมาที่ตำแหน่ง low ที่ทำการ mark ไว้แล้วจากการลงครั้งที่ 1
- deamnd ที่ยังมีอยุ่และยังไม่หมด ก็จะดันไล่ซื้อดันกราฟกลับขึ้นไปอีกครั้ง
- ครั้งที่ 2 นี้จำนวนแรงซื้อที่แนว demand นี้เริ่มจะอ่อนแรงลงเพราะลงมา 2 ครั้งแล้วไม่สามารถผ่านแนวต้านขึ้นไปได้
- กราฟชนแนวต้านระดับกราฟ day จะมีแรงขายออกมาจนกราฟเปลี่ยนเป็นขาลงไปที่แนวต้านด้านล่าง
- เมื่อกราฟขึ้นมาที่แนวต้านก็จะทำการ mark จุดเพื่อที่จะทำเป็นจุดแนวต้านของขาลง ถ้ากราฟขึ้นมาชนครั้งที่ 2 ที่ตำแหน่งนี้แล้วผ่านไม่ได้ ก็จะเกิดขาลงที่ตำแหน่งอีกครั้ง
- เมื่อกราฟขึ้นมาครั้งที่ 2 ชนแนวต้านที่ถูก mark ไว้แล้วก็จะมีแรงขายออกมาที่ตำแหน่งนี้
- ถ้ากราฟผ่านไปไม่ได้ ก็จะเปลี่ยนเป็นขาลงครั้งที่ 2 ไปที่แนว demand ที่ถูกไว้ก่อนหน้านี้
- เมื่อกราฟขึ้นมาครั้งที่ แนวต้านที่ถูก mark ไว้ก็จะมีแรงขายออกมาไม่ยอมให้กราฟผ่านขึ้นไปได้
- ถ้ากราฟ ผ่านขึ้นไปไม่ได้ ก็จะกลับเป็นขาลงครั้งที่ 3 ที่มีแรงขายจำนวนมาก เนื่องจากแรงซื้อที่เริ่มอ่อนแรงลง
- จะเห็นแท่งเทียนสีแดงยาวกว่าก่อนหน้า ลงมาที่แนวรับที่ถูก mark ไว้
กราฟ xau/usd จังหวะขึ้น 2 ครั้ง และลง 2 ครั้งที่แนวรับและแนวต้านของ demand & supply
รายละเอียดใน T/F M5,M15,H1
- M1 จะเป็นคลื่นย่อยที่เล็กที่สุดในกราฟ
- M5 เป็นตัวเชื่อมการยืดของกราฟ M1 เพื่อสร้างเทรน
- M15 เป็นตัวเชื่อมและนับคลื่นของ T/F ใหญ่จากรูปนับได้ 5 คลื่นแล้วรอดูการเด้งขึ้น
- T/F M15 ขยายเพื่อดูคลื่นภายในว่าเคลื่อนที่ไปกี่ cycle แล้วใน T/F H1
- H1 เอาไว้ดูแนวรับและแนวต้าน และจุด mark low และ mark high
- H4 ดูภาพคลืนใหญ่แนวรับแนวต้าน และ การเคลื่อนที่ของ cycle ใน T/F ใหญ่
- T/F H4 เกิดแรงขายลงมาหลุดแนวรับที่ 924 กลายเป็นขาลง
- T/F H1 เมื่อหลุดแนวรับกราฟก็จะยืดลงไปที่แนวรับถัดไป
- T/F Day กราฟลงมาถึงแนว demand ในกราฟ day ซึ่งปกติจะเด้งขึ้นแล้วค่อยๆเปลี่ยนเทรน ขึ้นหรือลงต่อไป แต่ที่แนว demand นี้กลับมีแรงซื้อไล่ราคากลับขึ้นมายืนบนแนวรับได้อย่างรวดเร็วบ่งบอกว่า กราฟยังไม่จบ cycle ขาขึ้นจึงมีแรงซื้อเข้ามาดันราคากราฟกลับไปเป็นขาขึ้นต่อได้
กราฟ 3 T/F H1,H4,Day |
วันอาทิตย์, มิถุนายน 06, 2564
คลื่นยืดในกราฟ 1 นาที ต้นกำเนิดเทรน
ลักษณะ sideway ในกรอบเพื่อเปลี่ยนเทรน
ความสำคัญของกราฟ 1 นาที คือ อะไรหลายคนอาจจะยังไม่เคยรู้ และ ทราบมาก่อนว่าจุดกำเนิดของเทรน เกิดจาก T/F ที่เล็กที่สุดและค่อยๆยืดขึ้นจนเกิดเป็นเทรนขนาใหญ่ ระดับ T/F day และ week หรือ T/F month ก็ตาม ก็ล้วนแล้วมีจุดกำเนิดของกราฟมาจาก T/F 1 นาทีทั้งสิ้น
เพราะว่าเมื่อกราฟลงมาชนแนวรับแล้ว ในแต่ละแนวรับจะมี demand อยู่จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับว่าแนวรับนั้น เป็นแนวรับของ T/F ระดับไหน day week month หรือ T/F ที่เล็กกว่า จะมี deamnd ไม่เท่ากัน
ลักษณะของกราฟขาขึ้น คือ เมื่อกราฟลงมาชนแนวรับแล้วจะสามารถเด้งขึ้นได้ และชึ้นไปชนแนวต้านที่สูงกว่าเดิมได้ หรือ เด้งชนแนวต้าน แต่ low ยกขึ้นเป็นลักษณของ dow thoery ของขาขึ้น
ลักษณะของกราฟ sideway ที่สร้างฐานของขาขึ้น
ลักษณะของcycle ในกราฟ 1 นาที |
กราฟ 3 T/F ขยาย cycle ในกรอบ sideway
กราฟ 3 T/F M1,M5,M15 |
ลักษณะของกราฟวิ่งในกรอบ sideway เป็นลักษณะของขาลง
ลักษระของcycle ในกราฟ 1 นาที |
กราฟ 3 T/F M1,M5,M15 |
- ลงมาชนแนวรับสำคัญที่มี demand เพียงพอที่จะเกิดการเด้งขึ้นได้
- กราฟหยุดลงที่แนวรับนี้
- โดยเกิดการทำ double bottom ที่แนวรับนี้ ที่จะกลับตัว
- กราฟ sideway ออกด้านข้างเพื่อที่จะเปลี่ยนเทรน
- กราฟเริ่มสร้างฐานของ dow ขาขึ้นตามทฤษฎี dow thoery
กราฟ 3 T/F M1,M5,M15 |
- กราฟเด้งขึ้นจากแนวรับ จาก volume ของ demand
- เกิดการสรา้ง cycle ขาขึ้น ขึ้นไปที่แนวต้าน
- เมื่อกราฟชนแนวต้าน ก็จะมีแรงขายออกมา เป็น supply ตามแนวต้านนั้นๆ
- ถ้ากราฟจะขึ้นต่อ ต้องไม่หลุดแนวรับที่ทะลุขึ้นมายืนได้ เพื่อที่จะยืดกราฟฝั่งขึ้นต่อขึ้นไปอีก
- แต่ถ้ากราฟไม่ขึ้น และเปลี่ยนเป็นขาลง กราฟก็จะลงมาที่แนวรับเดิมที่เคยทะลุผ่านขึ้นมายืนได้
- แล้วเด้งขึ้นจาก deamnd ที่แนวรับนี้อยู่พักหนึ่งเพื่อที่จะเปลี่ยนเทรน
- แต่ถ้าไม่สามารถเด้งขึ้นทะลุแนวต้านได้ และ volume ของแรงซื้อก็เริ่มหมดลง
- กราฟก็จะค่อยๆเปลี่ยนเป็นเทรนขาลงทะลถแนวรับลงไปที่แนวรับด้านล่าง